วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2554

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด "เจเนอเรชั่นสั่งลาท่านเซอร์"


สิ่งที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าสำหรับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นาทีนี้ คือการเป็นแชมป์หมายเลขหนึ่งของอังกฤษ...แต่ยังห่างชั้นจากทีมหมายเลขหนึ่งของโลก บาร์เซโลน่า อย่างน่าเหลือเชื่อ 



เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บอกไว้หลังเกมชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่นที่แล้ว ว่าขอเวลาอีกประมาณ 3 ปี เพื่อไล่ให้ทัน บาร์ซ่า 
เพราะฉะนั้น นั่นหมายความว่า เฟอร์กี้ มองไกลกว่าบัลลังก์ในประเทศไปแล้ว...
 จากที่ฟุตบอลอังกฤษเคยเป็นเรื่องของ ''ลิเวอร์พูล และทีมอื่นๆ'' 2 ทศวรรษหลังมานี้ มันคือเรื่องของ ''แมนฯ ยูไนเต็ด และทีมอื่นๆ'' ไปแล้ว 
ฟากสีแดงแห่งแมนเชสเตอร์ พัฒนาตัวเองแบบก้าวกระโดดเมื่อ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน โยกเข้ามาจาก อเบอร์ดีน โดยแม้ว่าช่วงแรกจะขลุกขลัก โค้ชสกอตติชต้องได้รับการผ่อนปรน เปิดโอกาสให้ทำงานต่อจากบอร์ดบริหาร แต่เมื่อตั้งหลักได้แล้ว ยูไนเต็ด ที่ไม่มีแชมป์ลีกสูงสุดติดมือมาตั้งแต่ปี 1967 ก็ฟาดแชมป์ครั้งแรกในซีซั่น 1992/93 ซึ่งเป็นปีแรกที่ พรีเมียร์ลีก เปิดตัวขึ้นด้วย
 จากนั้นเป็นต้นมา ยูไนเต็ด ที่ถูกหยามหยันจาก ลิเวอร์พูล ว่าถึงอย่างไรก็ยังต้องเป็นเบอร์สองของประเทศต่อไป ในเมื่อ ลิเวอร์พูล ยืนแท่นแชมป์ 18 สมัยตั้งแต่ปี 1990 ก็เริ่มลดช่องว่างลงทีละน้อย ทีละปี ช่วงห่างถูกลดลงสวนทางกับตัวเลขคริสตศักราชที่มากขึ้น - ในขณะที่ ลิเวอร์พูล หยุดนิ่งไม่ไหวติงมาตั้งแต่ครั้งล่าสุดนั่น  


 กระทั่งตามทันเทียบเท่าในซีซั่น 2008/09
 แล้วตัวเลข 19, ส่ง ยูไนเต็ด ขึ้นโพเดียมเบอร์ 1 อย่างเป็นทางการ, ก็มาถึงเมื่อสิ้นเสียงนกหวีดสุดท้ายของ 2010/11 (2009/10 ก็เข้าใกล้เลข 19 ชนิดหายใจรดต้นคอ แต่การแพ้ เชลซี คาบ้านในเดือน เม.ย. ก็ทำให้แชมป์ไปอยู่ในกรุงลอนดอน ปีศาจแดงขาดไปเพียงแต้มเดียว แม้ เวย์น รูนี่ย์ จะตะบัน 26 ตุงก็ตาม)
 ทว่าก็นั่นแหละ ถึงแชมป์พรีเมียร์จะอยู่กับ แมนฯ ยูไนเต็ด (ทั้งที่ชนะนอกบ้านแค่ 5 นัด) แต่พอเจอของจริงอย่าง บาร์ซ่า แล้ว ก็ต้องชอกช้ำเหมือนที่เคยเป็นมา

ซัมเมอร์ 2011 เฟอร์กี้ ต้องเจอกับความผันผวนในเรื่องขุมกำลัง ถัดจาก แกรี่ เนวิลล์ ที่แขวนสตั๊ดไปในหว่างซีซั่น เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ กับ พอล สโคลส์ ก็บอกเลิกศาลาไปติดๆ กัน นั่นก็รวมถึง โอเว่น ฮาร์กรีฟส์ มิดฟิลด์คนสำคัญของทีมแชมป์ยุโรป 2008 ด้วย ที่หมดสัญญา และสภาพร่างกายย่ำแย่เกินทน
นักเตะใหม่ที่ดึงเข้ามาอย่าง ดาบิด เด เคอา, ฟิล โจนส์ และ แอชลี่ย์ ยัง ล้วนแล้วแต่อายุยังน้อย (แอชลี่ย์ ยัง เพิ่ง 26 ไม่มากเท่าไรเช่นกัน) ซึ่งเมื่อผนวกกับบรรดาเด็กปั้นอย่าง ทอม เคลฟเวอร์ลี่ย์, แดนนี่ เวลเบ็ค รวมถึง คริส สมอลลิ่ง, คู่แฝด ราฟาเอล-ฟาบิโอ ดา ซิลวา และซูเปอร์สตาร์ที่อายุไม่มากเลยอย่าง เวย์น รูนี่ย์, นานี่, ชิชาริโต้ เอร์นานเดซ แล้ว ค่าเฉลี่ยทีมชุดนี้ของ ยูไนเต็ด จึงนับว่าน้อยมาก--แม้จะมี ไรอัน กิ๊กส์ หรือ ริโอ เฟอร์ดินานด์ คอยทานอยู่--ก็สามารถพูดได้ว่า อนาคตของ ยูไนเต็ด ชุดนี้ ย่อมทอดไปอีกยาวไกล  
 ที่สำคัญ ยังดูเหมือนว่า เฟอร์กี้ จะพยายามให้ทีมเน้นการต่อบอลสวยงามบนพื้นมากขึ้น เน้นความฉับไว การเคาะบอลสลับซับซ้อน และสปีดของเกมรุก ตั้งแต่ช่วงปรีซีซั่นที่สหรัฐอเมริกา ต่อมายังเกมคอมมิวนิตี้ ชิลด์ 2011 ที่พลิกชนะ ซิตี้ 3-2 จนมีหลายฝ่ายเห็นตรงกันว่า นี่คือความพยายามสร้างทรงบอลที่จะรอไว้เอาชนะ บาร์เซโลน่า ให้ได้ในอนาคต
เฟอร์กี้ กำลังเข้าใกล้เลข 70 ไปทุกขณะ ไม่มีใครรู้ว่า เขาจะยังนั่งเก้าอี้นายใหญ่แห่งโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ไปอีกนานสักเท่าไร (ท่านเซอร์บอกเองว่า จะคุมต่อตราบใดที่ยังฟิตดี ไม่ป่วยไข้...แต่กับชายชราอายุ 70...)
 ถ้าอย่างน้อยสุด มันจะไม่เกิน 3-4 ปี เราคงสามารถเชื่อได้ว่า นี่คือการสร้างทีมเจเนอเรชั่นสุดท้ายของจอมคนจากแดนวิสกี้แล้ว 


 และเป้าหมายสูงสุดไม่ได้อยู่ที่แชมป์ลีกอังกฤษอีกต่อไป


วันศุกร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2554

“รูน” รับติดกระจกหลังผมดกดำ

เวย์น รูนีย์ ดาวยิง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เผยใช้เวลาอยู่หน้ากระจกเพื่อแต่งองค์ทรงเครื่องมากกว่าเดิม หลังปลูกถ่ายเส้นผมจนดูกลับมาเป็นหนุ่มเหมือนเดิมอีกครั้ง จากการตีข่าวของ “เดอะ ซัน” แท็บลอยด์หัวดังประจำเกาะอังกฤษ
      

        รูนีย์ ออกสตาร์ทฤดูกาล 2011-12 ด้วยลุกใหม่ หลังจากควักเงิน 30,000 ปอนด์ (ประมาณ 1.5 ล้านบาท) เข้ารับการผ่าตัดปลูกถ่ายผมเมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา ทำเอากองหน้าทีมชาติอังกฤษวัย 25 ปีมั่นใจขึ้นเป็นกอง
    
        “ตอนนี้ผมใช้เวลาอยู่หน้ากระจกมากขึ้นกว่าเดิม สำหรับทุกคนที่ผมบางน่าจะเครียดกันพอสมควร ดังนั้น ผมจึงตัดสินใจไปปลูกถ่ายเส้นผม ทำไมจะไม่ล่ะ เพราะผลที่ออกมาก็ดูโอเค” รูนีย์ ที่เพิ่งซัดแฮตทริกช่วย แมนฯยู เปิด โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ถล่ม อาร์เซนอล 8-2 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคมที่ผ่านมา เผย
    
        รูนีย์ ยังถูก ริโอ เฟอร์ดินานด์ กองหลังร่วมค่ายแซวอีกว่า ให้ใช้แว็กซ์แต่งผมเหมือน คริสเตียโน โรนัลโด ปีกทีมชาติโปรตุเกส ที่เคยเล่นด้วยกันตอนนี้โยกไปอยู่กับ รีล มาดริด แต่คุณพ่อลูกหนึ่งเผยว่า “ผมไม่ชอบเหมือน โรนัลโด”

วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554

คลิป!! แขกตัวจิ๋วป่วนสนามฟุตบอล

เป็นการแข่งขันฟุตบอลหญิงที่สหรัฐอเมริกานัดที่ เวสต์เทิร์น นิวยอร์ค แฟรช เตะกับ ฟิลาเดลเฟีย อินดีเพนเดนซ์ เริ่มเกมการแข่งขันไปได้เพียง 15 นาที เกมก็ต้องมีอันหยุดลงชั่วคราวเนื่องจากมีแขกไม่ได้รับเชิญมาวิ่งป่วนอยู่ในสนามฟุตบอล ตัวป่วนรายนี้ไม่ใช่แฟนบอลแต่เป็นเจ้ากระรอกตัวน้อยที่วิ่งเข้ามาหมุนวนดูท่าทางจะถูกอกถูกใจกับพื้นหญ้าในสนามโดยมันไม่มีความเกรงกลัวอันใดว่าจะมีลูกฟุตบอลลอยมาทับตัวมันแต่ประการใด กว่าเจ้าหน้าที่จะหาอุปกรณ์จับตัวเจ้ากระรอกออกไปจากนอกสนามได้เกมต้องหยุดเสียเวลาไปกว่า 8 นาที
      
      

ป๋าป้องเวนเกอร์อุดหูแล้วเดินหน้าต่อไป

เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บรมกุนซือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดดปกป้อง อาร์แซน เวนเกอร์ เพื่อนร่วมอาชีพอย่าไปฟังเสียงวิจารณ์และแรงกดดันต่างๆ ให้ตั้งหน้าตั้งแต่ทำงานต่อไป หลังจาก อาร์เซนอล โดนมรสุมรุมเร้าตั้งแต่ออกสตาร์ทฤดูกาลใหม่ 2011-12
      
        อาร์เซนอล ถูกโจมตีว่าไม่ยอมทุ่มเงินดึงซูเปอร์สตาร์มาเสริมทัพเพื่อหยุดฝันร้ายไร้แชมป์ 6 ฤดูกาลติดต่อกัน มิหนำซ้ำซัมเมอร์นี้ยังเสียคีย์แมนอย่าง 2 กองกลาง เชส ฟาเบรกาส และ ซาเมียร์ นาสรี ล่าสุดออกสตาร์ทศึก พรีเมียร์ชิป อังกฤษ ไม่สู้ดีแพ้คาถิ่น เอมิเรตส์ สเตเดียม ต่อ ลิเวอร์พูล 0-2 เมื่อวันเสาร์ที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมาทำให้เก็บได้เพียงแค่แต้มเดียวจาก 2 นัด
      
        วันพุธที่ 24 สิงหาคมนี้ เวนเกอร์ นายใหญ่ชาวฝรั่งเศสยังมีศึกหนักต้องพา อาร์เซนอล เข้ารอบแบ่งกลุ่ม ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก 14 ปีติดต่อกันให้ได้ด้วยการไปเยือน อูดิเนเซ ถึงอิตาลีทำศึก รอบคัดเลือก รอบสาม โดยนัดแรกกุมความได้เปรียบมาก่อน 1-0 จากนั้นยังต้องไปเยือน โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ของ แมนฯยู วันอาทิตย์ที่ 28 ส.ค.นี้ก่อนเกมกุนซือ "ผีแดง" ออกมาให้กำลังใจว่า
      
        เซอร์ อเล็กซ์ กล่าวว่า "บ้ามากกับโลกที่เราอาศัยอยู่ รวมถึงเป็นโลกที่เต็มไปด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เมื่อพ่ายแพ้ทุกอย่างจะตกมาอยู่ที่คุณคนเดียว ทุกคนพูดถึง อาร์เซนอล และ เวนเกอร์ ว่าจะโบกมืออำลาทีม แต่ใครจะมาแทนเขาภายใต้สถานการณ์ที่เล่นตลกเช่นนี้ ดังนั้นควรเดินหน้าต่อไม่ต้องไปฟังเสียงเหล่านั้น สิ่งเดียวที่ต้องการคือที่อุดหู"

ป๋าหย่าศึกบีบีซีหลังงดสัมภาษณ์ตั้งแต่ปี 2004

 เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กุนซือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตกลงหย่าศึกกับ บีบีซี (BBC) สถานีโทรทัศน์ยักษ์ใหญ่ของอังกฤษแล้ว หลังจากงดให้สัมภาษณ์สื่อเจ้านี้มานับตั้งแต่ปี 2004
      
        “เฟอร์กี” ตัดสินใจไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ กับ บีบีซี มาตั้งแต่ปี 2004 ภายหลังจากที่สื่อโทรทัศน์ชื่อดังของเมืองผู้ดีกล่าวหา เจสัน ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตนไปในทางเสียหายผ่านทางรายการสารคดีของสถานี
      
        อย่างไรก็ตาม เมื่อช่วงเช้าวันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น มาร์ค ธอมป์สัน ผู้อำนวยการทั่วไปของ บีบีซี พร้อมด้วย ปีเตอร์ ซาลมอน ผู้อำนวยการของบีบีซี นอร์ธ ได้มีการนัดพบกับผู้จัดการทีมชาวสกอตแลนด์ ก่อนที่จะปรับความเข้าใจกันได้ในที่สุด
      
        โดย บีบีซี ออกมาแถลงว่า “เซอร์ อเล็กซ์ และ บีบีซี ตกลงทิ้งปัญหาที่ทำให้ เซอร์ อเล็กซ์ รู้สึกไม่สะดวกใจในการออกรายการของ บีบีซี เอาไว้เบื้องหลัง ซึ่งความผิดใจกันที่เกิดขึ้นได้รับการสะสางด้วยความพึงพอใจของทั้งสองฝ่ายแล้ว และ เซอร์ อเล็กซ์ ก็ยินดีที่จะเข้าร่วมในรายการของ บีบีซี ไม่ว่าจะเป็น แมตช์ ออฟ เดอะ เดย์, เรดิโอ ไฟว์ ไลฟ์ และอื่นๆ ตามที่ตกลงกัน ส่วนประเด็นอื่นๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งสองฝ่ายจะไม่ขอพูดถึงอีก”

ป๋าเตือน "ริโอ-วิดิช" ระวังคลื่นลูกใหม่ผี

เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน นายใหญ่ประจำถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เตือน ริโอ เฟอร์ดินานด์ และ เนมานยา วิดิช คู่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟจะต้องสู้เพื่อชิงตำแหน่งตัวจริง หลังจากคลื่นลูกใหม่ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กำลังมาแรงส่อแซงโค้ง
      
        ริโอ เจ็บขาจากเกมประเดิมฤดูกาลใหม่ที่บุกเฉือน เวสต์ บรอมวิช อัลเบียน 2-1 มีลุ้นลงเปิด โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด รับมือ อาร์เซนอล วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคมนี้ ส่วน วิดิช ที่เจ็บน่องจากเกมเดียวกันต้องพักราว 3 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม เซอร์ อเล็กซ์ นายใหญ่ แมนฯยู ดูจะพอใจคู่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟเกมล่าสุดที่ถล่ม ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ 3-0 คือ โจนาธาน อีแวนส์ และ ฟิล โจนส์
      
        เซอร์ อเล็กซ์ จึงออกมาเตือนคู่แนวรับจอมเก๋าว่า "ริโอ และ เนมานยา รู้ซึ้งดีว่าแข้งดาวรุ่งของทีมมีศักยภาพขนาดนั้น เมื่อทั้งคู่หรือคนหนึ่งคนใดฟิต ผมถึงจะตัดสินใจเรื่องตำแหน่งอีกครั้งหนึ่ง"
      
        เกมล่าสุดที่ แมนฯยู ถล่ม สเปอร์ส 3-0 อายุเฉลี่ยของนักเตะอยู่ที่ 23 ปีกับ 191 วันเท่านั้น โดยเฉพาะ สมอลลิง ที่ฟอร์มดีวันดีคืนเล่นได้ทั้งตัวกลางและแบ็กขวาจนมีลุ้นติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่นัดแรกทำศึก ยูโร 2012 รอบคัดเลือก

ผีจัดรูน ชิชา ลุ้นหลอน ปืนส่งอาร์วีพีบู้

วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เป๊ปเห็นใจเวงเกอร์ ผีพิโรธปืน 8-2 ขึ้นฝูงพรีเมียร์ฯ



“ยัง แทร็ฟฟอร์ด” เคลเวอร์ลีย์ลุ้นสัญญาใหม่ผี

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เตรียมสร้างปรากฏการณ์ใหม่ “ยัง แทร็ฟฟอร์ด” ให้กับเวที พรีเมียร์ชิป อังกฤษ ฤดูกาลใหม่ที่กำลังจะเปิดฉากระหว่างวันที่ 13-15 สิงหาคมนี้ ด้วยบรรดากองทัพดาวรุ่ง นำโดย ทอม เคลเวอร์ลีย์ กองกลางที่ดวงกำลังขึ้นมีลุ้นรับเงินเพิ่มภายใต้สัญญาฉบับใหม่
      
        เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน นายใหญ่ แมนฯยู ส่งนักเตะดาวรุ่งลงไปบดขยี้ช่วงครึ่งหลังจนแซงชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี 3-2 คว้าแชมป์ คอมมูนิตี ชิลด์ ที่สนาม เวมบลีย์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นพวกที่กลับมาจากยืมตัวอย่าง แดนนี เวลเบ็ค และ เคลเวอร์ลีย์ รวมถึงแข้งใหม่ที่ตบเท้าเข้ามาในช่วงซัมเมอร์นี้อย่าง ดาบิด เด เคอา และ ฟิล โจนส์
      
        ทำให้สื่ออังกฤษจับตามองลูกนกหัดบินกลุ่มนี้ ซึ่งอายุของทุกคนไม่เกิน 24 ปี ว่าจะไปไกลขนาดไหนเทียบชั้นรุ่น 1992 อย่าง พอล สโคลส์, เดวิด เบ็คแฮม, นิคกี บัตต์ และ พี่น้องตระกูลเนวิลล์ ได้หรือไม่ โดยมีแข้งอย่าง เวย์น รูนีย์ และ แอชลีย์ ยัง คอยประคับประคอง
      
        เคลเวอร์ลีย์ วัย 21 ปี ที่ได้รับการยกย่องว่าจะขึ้นมาแทน สโคลส์ ในแผงกองกลางปีที่แล้วยืมตัวอยู่กับ วีแกน แอธเลติก ล่าสุด ถูก ฟาบิโอ คาเปลโล เรียกติดทีมชาติอังกฤษเกมอุ่นเครื่องกับ ฮอลแลนด์ วันพุธที่ 10 สิงหาคมนี้ไปแล้ว อาจได้รับสัญญาใหม่พร้อมเงินเพิ่มขึ้น 2 เท่าจากเดิมที่รับอยู่ 15,000 ปอนด์ (ประมาณ 750,000 บาท) ต่อสัปดาห์
      
        ปาทริช เอฟรา แบ็กซ้ายทีมชาติฝรั่งเศสออกมาชม เคลเวอร์ลีย์ ว่า “ทอม คือ นักเตะที่เหลือเชื่อ ผมหวังว่า ปีนี้เขาจะได้รับโอกาสมากขึ้น เกมอุ่นเครื่องที่สหรัฐฯก็เล่นได้อย่างไร้ที่ติโดยเฉพาะเกมที่ชนะ บาร์เซโลนา 2-1 แมนฯยู ต้องการนักเตะที่มีพลังล้นเหลือแบบนี้ ซึ่งก็มีส่วนคล้าย สโคลส์ เขามีโลกส่วนตัวและพูดน้อย แต่ทำผลงานในสนามได้ดีเยี่ยม”
      
        “เดอะ ซัน” (THE SUN) แท็บลอยด์หัวดังของอังกฤษ จึงถือโอกาสจัดทัพแข้งดาวรุ่ง “ผีแดง” ระบบ 4-3-3 ประกอบไปด้วย ดาบิด เด เคอา, ราฟาเอล ดา ซิลวา, คริส สมอลลิง, ฟิล โจนส์, ฟาบิโอ ดา ซิลวา, นานี, อันแดร์สัน, ทอม เคลเวอร์ลีย์, แดนนี เวลเบ็ค, เฟเดริโก มาเคดา, ฮาเวียร์ เฮร์นานเดซ

"สมอลลิง" ปลื้มเป็นหนึ่งใน "ลูกนกหัดบินรุ่น 2"

คริส สมอลลิง ปราการหลัง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สุดปลื้มเป็นหนึ่งในขุนพล "ลูกนกหัดบินรุ่น 2" ที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน นายใหญ่ประจำถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด วางรากฐานเพื่ออนาคต จากการตีข่าวของ "เดอะ ซัน" แท็บลอยด์หัวดังประจำเกาะอังกฤษ
      
        แมนฯยู เพิ่งเปิด โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ขยี้ ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ 3-0 เกม พรีเมียร์ชิป อังกฤษ เมื่อวันจันทร์ที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมา นักเตะทั้ง 11 คนนัดนี้อายุเฉลี่ยอยู่ที่ 23 ปีเท่านั้น โดยมีแค่ 3 คนที่อายุเกิน 24 ปีคือ เวย์น รูนีย์ 25 ปี แอชลีย์ ยัง 26 ปี และ ปาทริช เอฟรา 30 ปี
      
        ซึ่ง สมอลลิง กองหลังวัย 21 ปีที่ย้ายจาก ฟูแลม พร้อมช่วย แมนฯยู คว้าแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 19 เมื่อปีที่แล้วกล่าวว่า "น่าตื่นเต้นมากกับการได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมนี้ที่มีความสามารถไม่สิ้นสุด ตอนนี้เรากำลังมองไปถึงจุดที่สามารถไปถึง ซึ่งถือว่าเป็นอนาคตที่ดีมาก"
      
        สำหรับแข้งเลือดใหม่ของ แมนฯยู ประกอบไปด้วย ดาบิด เด เคอา วัย 20 ปี ฟิล โจนส์ วัย 19 ปี ทอม เคลเวอร์ลีย์ วัย 22 ปี แดนนี เวลเบ็ค วัย 20 ปี แน่นอนว่าจะถูกนำไปเทียบกับ "ลูกนกหัดบิน" รุ่นแรกปี 1992 อย่าง เดวิด เบ็คแฮม พอล สโคลส์ นิคกี บัตต์ และพี่น้องเนวิลล์

อันซีทำฮือ!! ขอซิว "วิดิช" 25 ล้านป.



อันซี มาคัชคาลา สร้างความฮือฮาด้วยการทุ่มเงิน 25 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,250 ล้านบาท) ขอซื้อ เนมานยา วิดิช ปราการหลังกัปตันทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จากการตีข่าวของ "เดอะ ซัน" (THE SUN) แท็บลอยด์หัวดังประจำเกาะอังกฤษ
      
        อันซี เพิ่งคว้า ซามูเอล เอโต กองหน้าทีมชาติแคเมอรูนมาจาก อินเตอร์ มิลาน ด้วยค่าตัว 20 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1 พันล้านบาท) พร้อมประเคนค่าเหนื่อยสูงที่สุดในโลก 300,000 ปอนด์ (ประมาณ 15 ล้านบาท) ต่อสัปดาห์ สโมสรเงินถุงเงินถังประจำลีกรัสเซียยังไม่หยุดแค่นั้นเมื่ออยากได้ตัว วิดิช หัวใจแนวรับของ แมนฯยู
      
        วิดิช ย้ายจาก สปาร์ตัก มอสโก ร่วมถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เมื่อต้นปี 2006 ด้วยค่าตัว 7 ล้านปอนด์ (ประมาณ 350 ล้านบาท) ทว่าฤดูกาลนี้แข้งวัย 29 ปีถูกบรรดาคลื่นลูกใหม่อย่าง คริส สมอลลิง และ ฟิล โจนส์ พุ่งขึ้นมาท้าทายตำแหน่ง ล่าสุดยังเจ็บน่องต้องพักยาวถึง 3 สัปดาห์
      
        สำหรับ อันซี มีเจ้าของคือ สุไลมาน เคริมอฟ เศรษฐีน้ำมันของประเทศรัสเซีย มีดาวดังปักหลักค้าแข้งอยู่แล้วคือ โรเบอร์โต คาร์ลอส อดีตแบ็กซ้ายทีมชาติบราซิล ล่าสุดช่วงซัมเมอร์เพิ่งได้ ยูริ ซิร์คอฟ กองกลางมาจาก เชลซี ตามมาด้วย เอโต

"เคลฟ" ซึ้ง!! แฟนผีชูป้ายไม่เอา "สไนเดอร์"






สาวก "เรด เดวิลส์" ไม่อยากได้ตัว เวสลีย์ สไนเดอร์ จอมทัพทีมชาติฮอลแลนด์ หลังชูป้ายผ้าให้กำลังใจ ทอม เคลเวอร์ลีย์ กองกลางดาวรุ่ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ได้รับโอกาสอย่างต่อเนื่องช่วงออกสตาร์ทฤดูกาลใหม่ 2011-12 จากการตีข่าวของ "เดอะ ซัน" (THE SUN) แท็บลอยด์หัวดังของอังกฤษ
      
        แมนฯยู เสาะหาตัวแทนของ พอล สโคลส์ อดีตกองกลางทีมชาติอังกฤษที่ประกาศแขวนสตั๊ด ตลอดช่วงซัมเมอร์นี้ โดยวืดคว้า สไนเดอร์ แข้งดีกรีรองแชมป์ฟุตบอลโลก 2010 ของ อินเตอร์ มิลาน ด้วยค่าตัว 35 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,750 ล้านบาท)
      
        อย่างไรก็ตาม เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน นายใหญ่ แมนฯยู ไว้ใจ เคลเวอร์ลีย์ ห้องเครื่องที่ปล่อยให้ วีแกน แอธเลติก ยืมตัวใช้งานเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ลงเล่นตลอด 3 นัดแรกของ พรีเมียร์ชิป ที่คว้าชัยรวด เช่นเดียวกับแฟนบอล "ผีแดง" ที่ชูป้ายผ้าว่า "ใครคือ เวสลีย์? เรามี เคลเวอร์ลีย์ อยู่แล้ว"
      
        ส่วน เคลเวอร์ลีย์ วัย 22 ปีที่จับคู่กับ อันแดร์สัน เป็นมิดฟิลด์คู่กลางได้อย่างลงตัวจะขอทำหน้าที่ไม่ให้แฟนบอลผิดหวัง "แน่นอนผมจะทำให้ได้ เวสลีย์ คือสุดยอดนักเตะก็จริง แต่แฟนบอลเชื่อว่าผมจะต้องทำหน้าที่ได้อย่างลงตัว"
      
        เคลเวอร์ลีย์ เป็นเด็กสร้างของ แบร็ดฟอร์ด ซิตี ก่อนถูก แมนฯยู ฉกตัวมาปั้นเมื่อปี 2005 ที่ผ่านมาเคยเล่นให้ เลสเตอร์ ซิตี และ วัตฟอร์ด แบบยืมตัว เผยว่ามี เดวิด เบ็คแฮม รุ่นพี่ประจำถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เป็นขวัญใจ "เจ้านายให้ผมเลือกเบอร์ 22 หรือ 23 เบ็คแฮม ถือเป็นไอดอลและเขาสวมเบอร์ 23 ตอนเล่นให้ รีล มาดริด รวมถึงตอนนี้ที่อยู่กับ ลอส แองเจลิส กาแล็คซี"

รูนตั้งเป้าคว้าบัลลังก์ดาวซัลโวผีตลอดกาล

http://www.siamsport.co.th/Sport_Football/110829_258.html

ที่นี่..โอลด์แทรฟฟอร์ด โดย.. บอ.บู๋

http://www.siamsport.co.th/Column/110725_169.html

วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ประวัติสโมสร




ชื่อเต็ม : Manchester United Football Club
ฉายา : The Red Davils ( ปิศาจแดง )
ก่อตั้ง : ค.ศ. 1878
สนาม : โอลด์แทรฟฟอร์ด ( ความจุ 76,212 คน )
ที่ตั้ง : เมืองแมนเชสเตอร์
เจ้าของสโมสร : มัลคอล์ม เกลเซอร์
ประธานสโมสร : มาร์ติน เอ็ดเวิดส์
ผู้จัดการทีม : เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน


ประวัติสโมสรสโมสรในช่วงแรก (1878-1945)สโมสรในช่วงแรก (1878-1945) สโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดก่อตั้งโดยกลุ่มพนักงานกรรมกรในเหมืองแร่ถ่านหินในเมืองแมนเชสเตอร์ โดยในตอนแรกนั้นเป็นเพียงแค่สโมสรชั้นต่ำที่ทำการแข่งขันกันระหว่างคนงานด้วยกัน ต่อมามีพนักงานคนหนึ่งชื่อ J.C. Kuya เป็นคนผิวดำ มีเชื้อชาติแอฟริกัน ได้ออกมาประกาศว่าสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดจะก้าวไปเป็น 1 ในสโมสรที่ดีที่สุดในโลกในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งจากคำพูดนี้ทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นอย่างมากภายในกลุ่มคนงานด้วยกัน เนื่องจาก Kuya นั้น เป็นเพียงแค่ตัวสำรองในทีมซะเป็นส่วนใหญ่ แต่กลับกล้าออกความเห็นในที่สาธารณะ ซึ่งควรจะเป็นสิทธิของคนที่เป็นกัปตันทีม ซึ่งในขณะนั้น คือ Donny Dever ชาวอังกฤษโดยกำเนิด มีภูมิลำเนาเดิมอยู่แถบเมืองลิเวอร์พูล แต่เนื่องจากตกงานเป็นเวลานานจึงระหกระเหเร่ร่อนออกมาเป็นคนงานเหมืองแร่ในแถบเมืองแมนเชสเตอร์ ความขัดแย้งในครั้งนี้รุนแรงมากถึงขนาดมีการแบ่งแยกออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มคนขาว นำโดย Dever และกลุ่มคนดำ นำโดย Kuya ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สโมสรเลยทีเดียว โดยมีผู้เสียชีวิตมากเกือบร้อยคน แต่เรื่องนี้กลับถูกปิดเป็นความลับที่มีน้อยคนนักที่ได้รู้ ยุคของเซอร์ แมตต์ บัสบี้ (1945-1969) แมตต์ บัสบี้ได้เข้ามาคุมทีมในปี 1945 เขาได้นำความสำเร็จมาสู่สโมสรได้อย่างรวดเร็ว โดยได้อันดับสองของฟุตบอลลีกใน


ยุคของเซอร์ แมตต์ บัสบี้ (1945-1969)แมตต์ บัสบี้ได้เข้ามาคุมทีมในปี 1945 เขาได้นำความสำเร็จมาสู่สโมสรได้อย่างรวดเร็ว โดยได้อันดับสองของฟุตบอลลีกในปี 1947 และชนะเลิศเอฟเอ คัพในปีต่อมา
บัสบี้เป็นคนที่ดึงนักเตะจากทีมเยาวชนขึ้นมาหลายคน จนได้แชมป์ลีกในปี 1956 ด้วยอายุเฉลี่ยของนักเตะเพียง 22 ปีเท่านั้น ในปีต่อมา เขาก็ได้พาทีมเป็นแชมป์ลีกอีกครั้ง และยังเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ แต่ไปไม่ถึงดวงดาวโดยการแพ้ต่อแอสตัน วิลลา แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเป็นทีมแรกของอังกฤษที่ได้เข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลยูโรเปี้ยนคัพ และยังได้เข้าถึงรอบรองชนะเลิศอีกด้วย
ในปี 1958 ได้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่ของสโมสร เมื่อเครื่องบินที่บรรทุกนักเตะและทีมงานของสโมสร ที่กลับจากการไปแข่งขันยูโรเปียนคัพรอบก่อนรองชนะเลิศกับทีมเรดสตาร์ เบลเกรด ซึ่งแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดสามารถผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศแล้วได้ประสบอุบัติเหตุที่สนามบินในเมืองมิวนิค หลังจากแวะพักเครื่องบินที่เมืองมิวนิค ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ เวลาประมาณบ่าย 3 โมง เหตุการณ์ครั้งนั้นได้คร่าชีวิตนักเตะของทีมไปถึง 8 คน รวมถึงทีมงานสต๊าฟโค้ชและผู้โดยสารคนอื่นอีก 15 คน รวมเป็น 23 คน หนึ่งในคนที่เสียชีวิตในครั้งนี้ คือ ดันแคน เอ็ดเวิร์ด นักเตะดาวรุ่งพรสวรรค์สูงสุดในขณะนั้น จากเหตุการณ์ครั้งนี้ มีผู้คาดว่าจะเป็นจุดตกต่ำของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด แต่จิมมี เมอร์ฟีได้เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมในช่วงที่บัสบี้กำลังรักษาอาการบาดเจ็บ และใช้ตัวผู้เล่นแก้ขัดไปหลายตำแหน่ง แต่ทีมก็ยังสามารถเข้าชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพได้อีกครั้ง โดยครั้งนี้พ่ายต่อโบลตันทำให้ได้เพียงรองแชมป์เท่านั้น หลังจากรักษาตัวเองแล้ว บัสบี้ได้ปรับปรุงทีมในช่วงต้นของทศวรรษ 60 โดยการเซ็นสัญญาคว้านักเตะอย่าง เดนิส ลอว์ กับ แพท ครีแลนด์มาเสริมทีม แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดก็ชนะเลิศฟุตบอลเอฟเอ คัพในปี 1963 และได้แชมป์ฟุตบอลลีกในปี 1965 และ 1967 นอกจากนี้ ยังได้แชมป์ฟุตบอลยูโรเปี้ยนคัพเป็นสโมสรแรกของอังกฤษในปี 1968 ซึ่งเป็นระยะเวลาเพียง 10 ปี เท่านั้นหลังจากเกิดเหตุโศกนาฏกรรมที่มิวนิค ที่ทำให้ทีมต้องสูญเสียผู้เล่นตัวหลักไปถึง 8 คน และจากความยอดเยี่ยมของทีมชุดนี้ ทำให้มีนักเตะ 3 คนด้วยกัน ที่สามารถคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของยุโรป (บัลลงดอร์) ได้แก่เดนิส ลอว์ ได้รับรางวัลในปี 1964 คนที่สองคือบ๊อบบี้ ชาร์ลตันได้รับในปี 1966 หลังจากพาทีมชาติอังกฤษคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกครั้งแรกและครั้งเดียวของพวกเค้า และจอร์จ เบสต์ได้รับรางวัลในปี 1968 หลังจากโชว์ฟอร์มอันยอดเยี่ยมพาแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคว้าแชมป์ฟุตบอลยูโรเปียน คัพเป็นครั้งแรกของสโมสรและครั้งแรกของอังกฤษ
บัสบี้ได้ลาออกจากการเป็นผู้จัดการทีมในปี 1969 โดยมีวิฟ แมคกินเนสโค้ชทีมสำรองทำหน้าที่แทน


1969-1986สโมสรได้พยายามหาตัวแทนที่เหมาะสมของบัสบี โดยใช้ผู้จัดการทีมไปหลายคน ได้แก่ วิฟ แมคกิวเนส, แฟรงค์ โอนีล ก่อนที่ ทอมมี โดเคอร์ตี้เข้ามาคุมทีมในปี 1972 เขาได้ช่วยทีมให้รอดจากการตกชั้น แต่อย่างไรก็ดี ทีมก็ได้ตกชั้นลงไปในปี 1974 แต่สโมสรก็ได้เลื่อนชั้นขึ้นมาทันทีในปีถัดไป และยังได้เข้าชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพในปีต่อมาอีกด้วย จากนั้นก็ได้เข้าชิงชนะเลิศอีกครั้งในปี 1977 โดยครั้งนี้สามารถคว้าแชมป์ได้โดยการเอาชนะทีมลิเวอร์พูล เป็นการดับความหวังการคว้าสามแชมป์ในปีเดียวกันของหงส์แดงลงไป ถึงเขาจะทำหน้าที่ได้ดี แต่ก็ถูกไล่ออกหลังจากรอบชิงชนะเลิศปีนั้นเนื่องจากมีข่าวพัวพันกับภรรยาของนักกายภาพบำบัด
เดฟ เซกซ์ตันได้เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมต่อในฤดูกาล 1977-1978 และเปลี่ยนระบบการเล่นของทีมให้เน้นเกมรับมากขึ้น ระบบนี้ทำให้แฟนบอลไม่ค่อยพอใจมากนัก หลังจากทำทีมไม่ประสบความสำเร็จ เขาถูกไล่ออกในปี 1981 รอน แอคคินสันได้เข้ามาทำหนาที่นี้แทน เมื่อเขาเข้ามาก็ได้ทำลายสถิติซื้อขายสูงสุดของอังกฤษโดยการคว้าตัวไบรอัน ร็อบสัน มาจากเวสต์บรอมวิช รวมถึง การคว้าตัว เจสเปอร์ โอลเซน และกอร์ดอน สตรัคคั่น ในขณะที่มีนักเตะอย่างมาร์ค ฮิวจส์ และนอร์แมน ไวท์ไซด์ที่ขึ้นมาจากทีมเยาวชนของสโมสร แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้แชมป์เอฟเอ คัพในปี 1983
ปี 1985 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดทำผลงานได้ดีในช่วงเปิดฤดูกาลโดยการชนะ 10 นัดรวด ทำให้มีคะแนนนำทีมอื่นถึง 10 คะแนนตั้งแต่ต้นฤดูกาล แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นทีมทำผลงานได้ไม่ดีและจบฤดูกาลด้วยอันดับ 4 ของลีก ผลงานในปีต่อมาก็ไม่ได้ดีขึ้น ทีมต้องหนีการตกชั้น ทำให้รอน แอคคินสันถูกไล่ออกไป

ยุคของ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน (1986-ปัจจุบัน)อเล็กซ์ เฟอร์กูสันได้เข้ามาคุมทีมต่อ โดยในฤดูกาลแรกสโมสรจบฤดูกาลด้วยอันดับ 11 แต่ในปีต่อมาก็ได้อันดับสองโดยไบรอัน แมคแคลร์ทำประตูได้ถึง 21 ประตู เป็นคนแรกของทีมหลังจากที่จอร์จ เบสต์เคยทำได้มาก่อนหน้านี้ ในปี 1989 เฟอร์กูสันเกิดความยากลำบากในการคุมทีมขึ้น เนื่องจากตัวผู้เล่นหลายตัวที่เขานำเข้ามาในทีมไม่เป็นที่พอใจของแฟนบอล มีข่าวออกมาว่าสโมสรจะปลดเฟอร์กี้ออกจากการเป็นผู้จัดการทีมในช่วงต้นปี 1990 แต่การชนะนอตติ้งแฮม ฟอเรสต์ในรอบสาม ของเอฟเอ คัพ ก็ทำให้เขาสามารถคุมทีมต่อไปได้ จนคว้าแชมป์เอฟเอ คัพได้ในปีนั้น เป็นแชมป์แรกให้กับเขาในการคุมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ฤดูกาล 1990-91 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดคว้าแชมป์คัพ วินเนอร์ส คัพ โดยการเอาชนะบาร์เซโลนา จากสเปน ในนัดชิงชนะเลิศ แต่ปีต่อมาทีมทำผลงานไม่ดีนักในพรีเมียร์ลีก สโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ในลอนดอนเมื่อปี 1991 ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 18 ล้านปอนด์ จากนั้น สโมสรต้องเปิดเผยข้อมูลการเงินทั้งหมดสู่สาธารณะ
เอริค คันโตนาย้ายจากลีดส์ ยูไนเต็ดมาร่วมทีมเมื่อปี 1992 ส่งผลต่อความสำเร็จของทีมเป็นอย่า มาก ทำให้ทีมได้แชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนั้นทันที ซึ่งนับเป็นแชมป์ลีกหนแรกในรอบ 26 ปี นับจากที่ได้มาครั้งล่าสุดในปี 1967 ปีต่อมา ทีมได้ดับเบิลแชมป์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร แต่ในปี 1994 นั้นเอง แมตต์ บัสบี้ ตำนานกุนซือของได้เสียชีวิตลงในวันที่ 20 มกราคม ฤดูกาล 1994-95 คันโตนาถูกสมาคมฟุตบอลอังกฤษลงโทษห้ามแข่งถึง 8 เดือน หลังจากที่ไปกระโดดถีบใส่แมทธิว ซิมมอนส์ แฟนบอลคริสตัล พาเลซ ปีนั้น แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้รองแชมป์ทั้งพรีเมียร์ลีกและเอฟเอ คัพ เฟอร์กูสันได้กระทำสิ่งที่ขัดใจแฟนบอลของทีมอีกครั้ง ด้วยการขายนักเตะสำคัญของทีมและดันนักเตะจากทีมเยาวชนขึ้นมาเล่นแทน แต่ปีนั้นทีมก็สามารถคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้อย่างน่ายกย่อง โดยเป็นทีมแรกของเกาะอังกฤษ ที่สามารถคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้เป็นสมัยที่สองซึ่งเว้นจากครั้งแรกที่ได้ดับเบิ้ลแชม์ในปี 1994 เพียงปีเดียว และสามารถที่จะลบคำสบประมาทที่ถูกปรามาสเอาไว้ว่าไม่สามารถที่จะประสบความสำเร็จใดๆได้ จากการผลักดันเด็กเยาวชนของทีมให้ขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่
สโมสรคว้าแชมป์ลีกอีกครั้งในปี 1997 จากนั้น เอริค คันโตนาได้ประกาศเลิกเล่นฟุตบอลด้วยวัยเพียง 30 ปีซึ่งเร็วกว่านักเตะคนอื่นๆ มาก ฤดูกาลทีมยังเริ่มต้นการแข่งขันได้ดี แต่มีปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนมามากจนทำให้จบฤดูกาลได้เพียงอันดับสองเท่านั้น ปี 1998-99 ถือเป็นปีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร ด้วยการเป็นทีมแรกของอังกฤษที่คว้าทริปเปิลแชมป์ ซึ่งประกอบด้วยพรีเมียร์ลีก เอฟเอคัพ และยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีกได้ในฤดูกาลเดียวกันอย่างน่าประทับใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก โดยในนาทีสุดท้ายของเกมนั้น ทีมยังตามหลังบาเยิร์น มิวนิกอยู่ 1-0 แต่แล้วในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ 3 นาทีนั้น ทีมสามารถทำได้ถึงสองประตูพลิกกลับมาชนะ 2-1 ได้อย่างเหลือเชื่อจากเท็ดดี้ เชอริงแฮม และ "เพชรฆาตหน้าทารก" โอเล่ กุนนาร์ โซลชา จากการคว้าสามแชมป์ ทำให้อเล็กซ์ เฟอร์กูสันได้รับการพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จากสมเด็จพระบรมราชินีนาถเอลิซาเบถที่ 2 เป็นท่านเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เพื่อตอบแทนผลงานที่สามารถสร้างชื่อเสียงและเกียรติประวัติให้แก่ประเทศ ซึ่งถือเป็นบุคคลที่ได้รับตำแหน่งท่านเซอร์คนที่ 3 ในประวัติศาสตร์ของสโมสร โดยผู้ที่ได้รับคนแรกคือ เซอร์แมตต์ บัสบี้ คนที่สองคือ เซอร์บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ตำนานของสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
หลังจากคว้าแชมป์ลีกในฤดูกาลที่ผ่านมา ในฤดูกาล 1999-2000 ถึง 2000-2001 ยูไนเต็ดสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ในวงการฟุตบอลอังกฤษโดยการแชมป์ลีก 3 ครั้งติดต่อกัน ซึ่งเป็นทีมทึ่ 2 ที่ทำได้ (ทีมที่ทำได้ก่อนหน้าคือลิเวอร์พูล) และในช่วงนั้นยูไนเต็ดได้คว้าตัวนักเตะสำคัญคือ กองหน้าชาวดัตช์ รุด ฟาน นิสเตลรอย ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็น 1 ในตำนานสโมสรที่ลงสนาม 220 นัด และยิงได้ถึง 150 ประตู และริโอ เฟอร์ดินานด์ กองหลังที่มีค่าตัวสูงถึง 30 ล้านปอนด์ แต่อย่างไรก็ดี ในปี 2001-2006 ยูไนเต็ดได้ประสบปัญหาหลายอย่าง อย่างแรกคือสโมสรไม่สามารถหาผู้รักษาประตูที่เป็นตัวตายตัวแทนของ ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล ได้ สโมสรได้เปลี่ยนผู้รักษาประตูมือ 1 หลายคน ไม่ว่าจะเป็นมาร์ค บอสนิช, ไรมอนด์ ฟาน เดอ ฮาว, มัสซิโม่ ตาอิบี้, พอล ราชุบก้า, แอนดี้ กอแร่ม, ฟาเบียง บาร์กเตซ, ทิม โฮเวิร์ด, รอย คาโรล, และ ริคาร์โด้ โลเปซ และปัญหาอีกอย่างหนึ่งคือมีผู้เล่นที่เป็นกำลังหลักจำนวนมากได้ออกจากสโมสรไม่ว่าจะเป็นยาป สตัม, เดวิด เบ็คแฮม, รอย คีน กัปตันทีม, หรือแม้กระทั่งรุด ฟาน นิสเตลรอย โดยมีสาเหตุมาจากการมีปัญหากับเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ทั้งสิ้น ในช่วง 5 ปีนี้ ยูไนเต็ดคว้าแชมป์ลีกเพียงครั้งเดียว (ฤดูกาล 2002-2003) และได้ถ้วยรางวัลอื่นๆ อีก 2 รายการ คือ เอฟเอคัพ (2003-2004) และ ลีกคัพ (2005-2006) เท่านั้น โดยใน 2 ฤดูกาลหลัง เชลซีได้เข้ามามีบทบาทเด่นในฟุตบอลลีกเนื่องมาจากการเข้าเทคโอเวอร์สโมสรของ โรมัน อบราโมวิช มหาเศรษฐีชาวรัสเซีย ทำให้เชลซีมีงบประมาณซื้อตัวผู้เล่นไม่จำกัดและคว้าแชมป์ลีก 2 ปีติดต่อกัน
ต่อมาในปี 2006-2008 อเล็กซ์ เฟอร์กูสันได้ผ่าตัดทีมใหม่อีกครั้ง โดยมีแกรี่ เนวิลล์ เป็นกัปตันทีมคนใหม่ที่รับตำแหน่งกัปตันแทน รอย คีน 11 ผู้เล่นของยูไนเต็ดมีความลงตัวกว่าปีที่ผ่านๆ มา ผู้เล่นที่โดดเด่นมี เอ็ดวิน ฟาน เดอ ซาร์ ผู้รักษาประตูทีมชาติฮอลแลนด์ที่เป็นตัวแทนของ ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล และกองหลังมีเนมานย่า วิดิช ผู้เล่นยอดเยี่ยมของเซอร์เบียแอนด์มอนเตเนโกร และริโอ เฟอร์ดินานด์กองหลังค่าตัว 30 ล้านปอนด์เป็นแกนกลาง, ปีกซ้ายขวามี คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ปีกดาวรุ่งโปรตุเกสที่สืบทอดเสื้อหมายเลข 7 ต่อจากเดวิด เบ็คแฮม และนานี่ ปีกดาวรุ่งผู้เป็นตัวแทนของไรอัน กิ๊กส์ และกองหน้ามี เวย์น รูนี่ย์ ดาวยิงประตูที่มีค่าตัวถึง 27 ล้านปอนด์เป็นกำลังหลัก อเล็กซ์เฟอร์กูสันได้กล่าวว่าทีมชุดนี้เป็นชุดที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้ชุดปี 1999, ซึ่งทีมชุดนี้สามารถนำแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไล่ล่าความสำเร็จอีกครั้ง โดยการคว้าแชมป์ลีก 3 ปีติดต่อกันในปี 2006-2009 และการคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกอีกครั้งในฤดูกาล 2007-2008


การเทคโอเวอร์ของมัลคอล์ม เกลเซอร์ในวันที่12 พฤษภาคม พ.ศ. 2548 (2005) มัลคอล์ม เกลเซอร์ นักธุรกิจชาวสหรัฐอเมริกาสามารถครอบครองในสโมสรเกินร้อยละ 70 หลังจากบรรลุข้อตกลงซื้อหุ้นของผู้ถือหุ้นเจ. พี. แมกมานัส และจอห์น แมกเนียร์ ซึ่งถือหุ้นอยู่ร้อยละ 28.7 จาก และแฮร์รี่ ดอบสัน ผู้ถือหุ้นใหญ่ลำดับสามชาวสกอต ในวันที่ 16 พฤษภาคม เกลเซอร์ครอบครองหุ้นเกินร้อยละ 75 ซึ่งทำให้เขาสามารถนำสโมสรออกจากตลาดหลักทรัพย์ได้ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดถูกนำออกจากตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนในวันที่ 22 มิถุนายน เกลเซอร์สามารถครอบครองหุ้นร้อยละ 98 เป็นผลสำเร็จในวันที่ 28 มิถุนายน ซึ่งเกินระดับที่กำหนดให้บังคับซื้อหุ้นส่วนที่เหลือ มัลคอล์ม เกลเซอร์แต่งตั้งลูกชายสามคนของเขาเข้าในคณะกรรมการบริหาร ผู้สนับสนุนจำนวนมากไม่พอใจการเข้าครอบครองกิจการของเกลเซอร์

ประวัติสนาม

สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด (Old Trafford)

โอลด์ แทรฟฟอร์ด (Old Trafford) เป็นสนามกีฬาในเขตแทรฟฟอร์ดของเกรตเตอร์แมนเชสเตอร์ และเป็นสนามเหย้าของสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด สนามกีฬาเริ่มก่อสร้างในปี ค.ศ. 1909 และเริ่มเปิดใช้ตั้งแต่วันที่ 19 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 1910 ซึ่งใช้มาตลอดยกเว้นในช่วง 8 ปี ที่สนามโดนระเบิดในเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วง 1941-1949 โอลด์ แทรฟฟอร์ด ในปัจจุบัน เป็นสนามฟุตบอลซึ่งติดตั้งเก้าอี้หมดทุกพื้นที่ของสแตนด์ เป็นสนามที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอังกฤษ ในแง่ของจำนวนแฟนบอลที่รองรับได้ ซึ่งมากถึง 76,212 คนเป็นรองแค่ เวมบลีย์ สเตเดี้ยม เพียงแห่งเดียว และใหญ่อันดับ 3 ของสหราชอาณาจักร ใหญ่เป็นอันดับ 11 ของยุโรปนอกจากนั้นยังเป็น 1 ใน 2 สนามในอังกฤษที่ ยูฟ่า รับรองเป็นสนาม 5 ดาว ชื่อเรียกที่แฟนบอลคุ้นหูและเร้าอารมณ์ว่า "โรงละครแห่งความฝัน" นั้น คนแรกที่แรกที่เรียกชื่อนี้คือ เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน บุคคลระดับตำนานของสโมสรนั่นเอง สนามโอลด์แทรฟฟอร์ดนี้มักจะถูกใช้เป็นสนามในการแข่งขันเอฟเอคัพรอบรองชนะเลิศ และเป็นสนามหลักในการแข่งขันหลายอย่างในขณะที่สนามกีฬาเวมบลีย์อยู่ในระหว่างการปรับปรุง นอกจากนี้ยังได้เป็นสนามแข่งขันนัดสำคัญหลายอย่างไม่ว่าฟุตบอลโลก 1966 หรือแชมเปียนส์ลีกในปี 2003 และจะถูกใช้แข่งขันฟุตบอลในมหกรรมกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 2012 ที่กรุงลอนดอนเป็นเจ้าภาพ

โครงสร้างและการใช้งาน    * สนามหญ้าเขียวขจีของ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ล้อมรอบด้วยสแตนด์ที่นั่งล้วนมีหลังคามคุม 4 ด้าน ชื่อเรียกทางการคือ สแตนด์ทิศเหนือ, ทิศใต้, ทิศตะวันออก, ทิศตะวันตก สแตนด์แต่ละทิศมีอย่างน้อย 2 ชั้นยกเว้นทิศใต้ที่มีเพียงชั้นเดียว เนื่องมาจากข้อจำกัดในการก่อสร้าง    * สแตนด์ทิศเหนือสมัยก่อนเรียกกัน ว่า "ยูไนเต็ด โร้ด สแตนด์" มีทั้งสิ้น 3 ชั้นรองรับแฟนบอลได้ทั้งสิ้นราว 26,000 ที่นั่ง มากที่สุดในบรรดาสแตนด์ทั้ง 4 ทิศและสแตนด์ทางทิศเหนือยังรองรับแฟนบอลได้มากกว่านั้นอีกนิดหน่อยเพราะมี บ็อกซ์พิเศษตั้งอยู่ สแตนด์ทิศเหนือเปิดใช้งานในรูปลักษณ์ที่เห็นในปัจจุบัน เมื่อปี 1996 โดยก่อนหน้านั้นมีเพียงชั้นเดียวเท่านั้น และด้วยการเป็นสแตนด์หลักของสนาม สแตนด์ทิศเหนือจึงเป็นที่ตั้งหลักของหลายต่อหลายจุดอันเป็นที่นิยม รวมไปถึงเร้ด ค่าเฟ่(ร้านอาหาร/บาร์ ในธีมสีแดงของ แมนฯ ยูไนเต็ด) และพิพิธภัณฑ์แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับห้องเก็บโทรฟี่ซึ่งเปิดในปี 1986 นับว่าเป็นที่แรกในโลกสำหรับการเปิดพิพิธภัณฑ์ลักษณะนี้ของสโมสรฟุตบอล คนที่เป็นประธานเปิดพิพิธภัณฑ์คือ ราชาลูกหนังโลก เปเล่ เมื่อวันที่ 11 เมษายน 1998












เพลงประจำสโมสร



 Glory glory Man United

Glory, glory, Man United,
Glory, glory, Man United,
Glory, glory, Man United,
And the reds go marching on, on, on.
Just like the Busby Babes in Days gone by
We'll keep the Red Flags flying high
You've got to see yourself from far and wide
You've got to hear the masses sing with pride
United! Man United!
We're the boys in Red and we're on our way to Wem-ber-ly
Wem-ber-ly! Wem-ber-ly!
We're the famous Man United and we're going to Wem-ber-ly
Wem-ber-ly! Wem-ber-ly!
We're the famous Man United and we're going to Wem-ber-ly
In Seventy-Seven it was Docherty
Atkinson will make it Eighty-Three
And everyone will know just who we are
They'll be singing 'Que Sera Sera'
United! Man United!
We're the boys in Red and we're on our way to Wem-ber-ly
Wem-ber-ly! Wem-ber-ly!
We're the famous Man United and we're going to Wem-ber-ly
Wem-ber-ly! Wem-ber-ly!
We're the famous Man United and we're going to Wem-ber-ly
Glory, glory, Man United,
Glory, glory, Man United,
Glory, glory, Man United,
As the Reds Go Marching On! On! On! (3x)