สิ่งที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าสำหรับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นาทีนี้ คือการเป็นแชมป์หมายเลขหนึ่งของอังกฤษ...แต่ยังห่างชั้นจากทีมหมายเลขหนึ่งของโลก บาร์เซโลน่า อย่างน่าเหลือเชื่อ
เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บอกไว้หลังเกมชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่นที่แล้ว ว่าขอเวลาอีกประมาณ 3 ปี เพื่อไล่ให้ทัน บาร์ซ่า เพราะฉะนั้น นั่นหมายความว่า เฟอร์กี้ มองไกลกว่าบัลลังก์ในประเทศไปแล้ว...
จากที่ฟุตบอลอังกฤษเคยเป็นเรื่องของ ''ลิเวอร์พูล และทีมอื่นๆ'' 2 ทศวรรษหลังมานี้ มันคือเรื่องของ ''แมนฯ ยูไนเต็ด และทีมอื่นๆ'' ไปแล้ว ฟากสีแดงแห่งแมนเชสเตอร์ พัฒนาตัวเองแบบก้าวกระโดดเมื่อ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน โยกเข้ามาจาก อเบอร์ดีน โดยแม้ว่าช่วงแรกจะขลุกขลัก โค้ชสกอตติชต้องได้รับการผ่อนปรน เปิดโอกาสให้ทำงานต่อจากบอร์ดบริหาร แต่เมื่อตั้งหลักได้แล้ว ยูไนเต็ด ที่ไม่มีแชมป์ลีกสูงสุดติดมือมาตั้งแต่ปี 1967 ก็ฟาดแชมป์ครั้งแรกในซีซั่น 1992/93 ซึ่งเป็นปีแรกที่ พรีเมียร์ลีก เปิดตัวขึ้นด้วย จากนั้นเป็นต้นมา ยูไนเต็ด ที่ถูกหยามหยันจาก ลิเวอร์พูล ว่าถึงอย่างไรก็ยังต้องเป็นเบอร์สองของประเทศต่อไป ในเมื่อ ลิเวอร์พูล ยืนแท่นแชมป์ 18 สมัยตั้งแต่ปี 1990 ก็เริ่มลดช่องว่างลงทีละน้อย ทีละปี ช่วงห่างถูกลดลงสวนทางกับตัวเลขคริสตศักราชที่มากขึ้น - ในขณะที่ ลิเวอร์พูล หยุดนิ่งไม่ไหวติงมาตั้งแต่ครั้งล่าสุดนั่น
กระทั่งตามทันเทียบเท่าในซีซั่น 2008/09 แล้วตัวเลข 19, ส่ง ยูไนเต็ด ขึ้นโพเดียมเบอร์ 1 อย่างเป็นทางการ, ก็มาถึงเมื่อสิ้นเสียงนกหวีดสุดท้ายของ 2010/11 (2009/10 ก็เข้าใกล้เลข 19 ชนิดหายใจรดต้นคอ แต่การแพ้ เชลซี คาบ้านในเดือน เม.ย. ก็ทำให้แชมป์ไปอยู่ในกรุงลอนดอน ปีศาจแดงขาดไปเพียงแต้มเดียว แม้ เวย์น รูนี่ย์ จะตะบัน 26 ตุงก็ตาม)
ทว่าก็นั่นแหละ ถึงแชมป์พรีเมียร์จะอยู่กับ แมนฯ ยูไนเต็ด (ทั้งที่ชนะนอกบ้านแค่ 5 นัด) แต่พอเจอของจริงอย่าง บาร์ซ่า แล้ว ก็ต้องชอกช้ำเหมือนที่เคยเป็นมา
ซัมเมอร์ 2011 เฟอร์กี้ ต้องเจอกับความผันผวนในเรื่องขุมกำลัง ถัดจาก แกรี่ เนวิลล์ ที่แขวนสตั๊ดไปในหว่างซีซั่น เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ กับ พอล สโคลส์ ก็บอกเลิกศาลาไปติดๆ กัน นั่นก็รวมถึง โอเว่น ฮาร์กรีฟส์ มิดฟิลด์คนสำคัญของทีมแชมป์ยุโรป 2008 ด้วย ที่หมดสัญญา และสภาพร่างกายย่ำแย่เกินทนนักเตะใหม่ที่ดึงเข้ามาอย่าง ดาบิด เด เคอา, ฟิล โจนส์ และ แอชลี่ย์ ยัง ล้วนแล้วแต่อายุยังน้อย (แอชลี่ย์ ยัง เพิ่ง 26 ไม่มากเท่าไรเช่นกัน) ซึ่งเมื่อผนวกกับบรรดาเด็กปั้นอย่าง ทอม เคลฟเวอร์ลี่ย์, แดนนี่ เวลเบ็ค รวมถึง คริส สมอลลิ่ง, คู่แฝด ราฟาเอล-ฟาบิโอ ดา ซิลวา และซูเปอร์สตาร์ที่อายุไม่มากเลยอย่าง เวย์น รูนี่ย์, นานี่, ชิชาริโต้ เอร์นานเดซ แล้ว ค่าเฉลี่ยทีมชุดนี้ของ ยูไนเต็ด จึงนับว่าน้อยมาก--แม้จะมี ไรอัน กิ๊กส์ หรือ ริโอ เฟอร์ดินานด์ คอยทานอยู่--ก็สามารถพูดได้ว่า อนาคตของ ยูไนเต็ด ชุดนี้ ย่อมทอดไปอีกยาวไกล ที่สำคัญ ยังดูเหมือนว่า เฟอร์กี้ จะพยายามให้ทีมเน้นการต่อบอลสวยงามบนพื้นมากขึ้น เน้นความฉับไว การเคาะบอลสลับซับซ้อน และสปีดของเกมรุก ตั้งแต่ช่วงปรีซีซั่นที่สหรัฐอเมริกา ต่อมายังเกมคอมมิวนิตี้ ชิลด์ 2011 ที่พลิกชนะ ซิตี้ 3-2 จนมีหลายฝ่ายเห็นตรงกันว่า นี่คือความพยายามสร้างทรงบอลที่จะรอไว้เอาชนะ บาร์เซโลน่า ให้ได้ในอนาคตเฟอร์กี้ กำลังเข้าใกล้เลข 70 ไปทุกขณะ ไม่มีใครรู้ว่า เขาจะยังนั่งเก้าอี้นายใหญ่แห่งโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ไปอีกนานสักเท่าไร (ท่านเซอร์บอกเองว่า จะคุมต่อตราบใดที่ยังฟิตดี ไม่ป่วยไข้...แต่กับชายชราอายุ 70...)
ถ้าอย่างน้อยสุด มันจะไม่เกิน 3-4 ปี เราคงสามารถเชื่อได้ว่า นี่คือการสร้างทีมเจเนอเรชั่นสุดท้ายของจอมคนจากแดนวิสกี้แล้ว
และเป้าหมายสูงสุดไม่ได้อยู่ที่แชมป์ลีกอังกฤษอีกต่อไป